อินไซท์

June 2010

Scene4 Magazine - Arts of Thailand - Thai Film - PALME D'OR - The first Thai film to win the top prize at Cannes | Janine Yasovant - www.scene4.com

จานีน ยโสวันต์

. . . และบทความเรื่ององค์บาก 3 ของโทนี่ จา

เป็นเกียรติอย่างมากที่ได้ทราบถึงภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ได้รับรางวัล
ชนะเลิศปาล์มทองคำจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ เรื่อง "ลุงบุญมี
ระลึกชาติ (Uncle Boonmee Who Can Recall His Past Lives)" เป็น
ผลงานของคุณเจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทย
หนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทมส์ได้เขียนไว้ว่า:

"ในตอนเย็นวันอาทิตย์ที่มีเทศกาลภาพยนต์เมืองคานส์ครั้งที่ 63นั้นจบลง
ด้วยความรู้สึกน่าตกใจและตื่นเต้นที่รางวัลปาล์มทองคำถูกมอบให้กับ
ภาพยนตร์เรื่องลุงบุญมีระลึกชาติ" ที่เป็นผลงานของผู้กำกับภาพยนตร์ชาว
ไทย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล แน่นอนว่าเป็นผู้ชนะเลิศเพียงคนเดียวที่ทำ
หนังที่มีฉากแสดงเรื่องเพศระหว่างเจ้าหญิงและปลาดุก

"ลุงบุญมีระลึกชาติ" เป็นเรื่องเล่าที่กล่าวถึงชายคนหนึ่งที่กำลังจะตายกับ
เรื่องราวในชาติก่อนๆของเขา และยังมีเครือญาติที่เป็นวิญญาณเรื่องนี้ได้
รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์แต่ในขณะเดียวกันก็มีผู้อื่นที่ไม่ชอบงานของเขา
เช่นกัน ผลการพิจารณาอาจจะดึงดูดให้ ทิม เบอร์ตันที่เป็นประธานและ
คณะกรรมการที่มีวิสัยทัศน์ที่เป็นผู้ตัดสินรางวัล ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็น
จริง ตอนที่ขึ้นไปรับรางวัล คุณวีระเศรษฐกุลหรือเจ้ยได้พูดเป็นภาษา
อังกฤษว่า"this is like another world for me" (สำหรับตัวผมแล้วนี่เป็น
เหมือนอีกโลกหนึ่ง) และได้ระบุไว้ว่าเรื่องลุงบุญมีระลึกชาติเป็นภาพยนตร์
ไทยเรื่องแรกที่คว้ารางวัลปาล์มทองคำ เขาพูดกับคณะกรรมการต่อไปว่า "I
would really like to kiss all of you" (ผมอยากจะจูบพวกคุณทุกคนเลย)
และยังได้กล่าวต่อไปอีกว่าเขาชอบทรงผมของคุณเบอร์ตันอีกด้วย คุณ
วีระเศรษฐกุลยังได้ขอบคุณว่า "all the spirits and ghosts in Thailand
who made it possible for me to be here." (ด้วยจิตและวิญญาณใน
ประเทศไทยทุกดวงที่ทำให้ผมมาอยู่ที่นี่ได้)และเขายังได้กล่าวต่อไปว่า
"I'd like to send a message home: This prize is for you."

cannes-Weerasethakul-cr

(ผม
อยากจะส่งข้อความกลับบ้าน รางวัลนี้เป็นของพวกคุณ) นี่เป็นการประกาศ
ที่น่าตื่นเต้นมากสำหรับชาวไทย

โทนี่จาองค์บาก 3

กลับเข้าสู่เรื่องกันเถอะ บางคนกล่าวว่าภาพยนตร์เรื่ององค์บาก (พ.ศ.
2546) เป็นความสำเร็จสูงสุดของโทนี่ จา (ทัชชกร ยีรัมย์) ด้วยเหตุผล
หลายประการ หนึ่งในนั้นการอุทิศตนฝึกฝนศิลปะการต่อสู้จาสำเร็จวิชาการ
ต่อสู้หลายชนิดรวมทั้งมวยไทยซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้ของประเทศไทย ใน
ภาพยนตร์ จาแสดงให้เราทราบว่ามวยไทยโบราณนั้นใช้งานได้จริงและเป็น
อันตรายแค่ไหน

นอกเหนือไปจากนี้ เขาได้เพิ่มเติมยิมนาสติกเข้าไปทำให้ท่วงท่าต่อสู้มี
ความน่าสนใจกว่าเดิม ดังนั้นจึงสามารถเข้าใจได้ว่าหลายๆคนชื่นชมและให้
การสนับสนุนเขา

ในปีพ.ศ. 2548 เขารับบทเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่เดินทางไปตามช้างที่ถูก
ลักพาตัวในภาพยนตร์ที่มีชื่อว่า "ต้มยำกุ้ง"ซึ่งได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่ามี
พล็อตการดำเนินเรื่องไม่ดีเท่ากับเรื่ององค์บากภาคแรก

องค์บาก 2 (พ.ศ. 2551) เป็นความพยายามครั้งแรกของจาในการกำกับ
หนังของตัวเองแต่ก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จตามที่เขาตั้งใจเท่าใดนัก
เพราะมีปัญหามากมายในช่วงถ่ายทำรวมไปถึงเรื่องการเงินและการจัดการ
ผิดพลาด หลังที่มีการเลื่อนการถ่ายทำหลายครั้งจาก็ได้เจรจาตกลงกับเสี่ย
เจียงที่เป็นประธานของบริษัทสหมงคลฟิล์ม (ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์) จน
ได้รับเงินเพิ่มเติมแต่ก็ต้องแบ่งตัวหนังออกเป็นสองส่วน

องค์บาก 3 (พ.ศ. 2553) เป็นหนังภาคต่อซึ่งเริ่มต้นหลังจากตอนจบภาค 2
พล๊อตเรื่องของหนังเรื่องนี้เรียบง่ายธรรมดาแต่ฉากแอ็กชั่นและการต่อสู้
ยังคงยอดเยี่ยมเหมือนเดิม

ongbak31cr

เรื่องย่อองค์บาก3

หลังจากที่เทียนสังหารเชอนังหัวหน้าชุมโจรในระหว่างการประลองเขาก็ถูก
จับกุมและถูกทรมานอย่างทารุณตามคำสั่งของพระยาราชเสนาพวกโจรที่
เหลือพยายามที่จะช่วยแต่ก็ถูกสังหารทั้งหมด โชคยังดีที่หลังจากการ
ประหารชีวิตเทียนถูกขัดขวาง เทียนได้รับการช่วยเหลือจากชาวบ้านและ
หญิงคนรักที่มีชื่อว่าพิมแต่เขาก็สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปทั้งหมด
เมื่อเขาฟื้นขึ้นมาและทราบว่าตัวเองเป็นคนพิการ ชาวบ้านยังช่วยหล่อ
พระพุทธรูปให้กับเทียนอีกด้วย ในเวลาเดียวกันนั้นเองพระยาราชเสนา
กำลังทุกข์ทรมานกับคำสาบและตามหาพ่อมดมนตร์ดำที่มีชื่อว่าภูตสางกาผู้
ที่สามารถถอนคำสาบได้ โดยไม่คาดคิด ภูตสางกาสังหารพระยาราชเสนา
และสถาปนาตนเองเป็นพระราชาคนถัดไป

เมื่อไม่มีเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่เทียนพยายามที่จะฆ่าตัวตายแต่พระบัวที่เคย
เป็นครูสอนนาฏศิลป์ได้มาห้ามไว้และได้สอนให้เทียนรู้จักความดีงามและ
การทำสมาธิ พิมพยายามที่จะช่วยเหลือเขาโดยการทำกายภาพบำบัติด้วย
การร่ายรำ เมื่อเทียนหายดีแล้วเขาได้พยายามผสมผสานการร่ายรำ ศิลปะ
การต่อสู้ทั้งหมดและการทำสมาธิเข้าด้วยกันเพื่อสร้างสุดยอดวิชาการต่อสู้
ที่เรียกว่า "นาฏยุทธ์" ต่อมาหมู่บ้านที่เทียนหลบซ่อนอยู่ถูกทำลาย
ชาวบ้านทุกคนถูกจับกุมตามคำสั่งของพระราชาองค์ใหม่เทียนต่อสู้กับ
ทหารหลายคนที่อยู่ในหมู่บ้านและหน้าผากของพระพุทธรูปเสียหายจากคม
ดาบของศัตรูในระหว่างการต่อสู้ พระบัวยังได้ให้ไม้เท้าเพื่อลบล้างมนตร์ดำ
เทียนรีบไปช่วยชาวบ้านและเอาชนะภูติสางกาได้ในที่สุด

แม้ว่าจะมีข้อผิดพลาดบ้างในหลายๆฉาก ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังดูสนุกได้อยู่
จาพยายามที่จะแสดงอารมณ์ของตัวละครในหนังและลดระดับความรุนแรง
ของเรื่องลง

มีความน่าสนใจที่ว่าฉากการต่อสู้ตอนสุดท้ายมีสองแบบ แบบแรก เทียนถูก
ผลักดันด้วยความเกลียดชังและการล้างแค้นหลังจากที่พิมถูกฆ่าโดยภูติ
สางกา ทั้งคู่ต่อสู้ด้วยความโกรธและเทียนถูกเสียบด้วยหอกจนถึงแก่ความ
ตาย แบบที่สองทำให้เราทราบว่าเทียนละทิ้งอวิชาและขว้างไม้เท้าลบล้าง
คำสาบและตาอสู้กับภูติสางกาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจฆ่าและไม่ได้ใช้อาวุธเขาจึง
มีชีวิตอยู่ในตอนจบ ส่วนทั้งสองรูปแบบนี้จะอยู่ในการสื่อความหมายได้อย่างไร
ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่งกว่า

Ongbak3cr

กรุณาลงความเห็น เกี่ยวกับบทความนี้

ส่ง
อีเมล์
หน้านี้

©2010 Janine Yasovant
©2010 Publication Scene4 Magazine

Scene4 Magazine: Janine Yasovant
จานีน ยโสวันต์เป็นนักเขียน, ซีเนียร์ไรเตอร์ของ Scene4
และเป็นผู้จัดการสำนักงาน Scene4 จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย

 

Scene4 Magazine - Arts and Media

June 2010

Cover | This Issue | inFocus | inView | reView | inSight | inPrint | Blogs | Books | New Tech | Links | Masthead Submissions | Advertising | Special Issues | Payments | Subscribe | Privacy | Terms | Contact | Archives

Search This Issue Share This Page

RSS FeedRSS Feed

Scene4 (ISSN 1932-3603), published monthly by Scene4 Magazine - International Magazine of Arts and Media. Copyright © 2000-2010 AVIAR-DKA LTD - AVIAR MEDIA LLC. All rights reserved.

Now in our 11th year of publication with
comprehensive archives of over 5000 pages 

sciam-subs-221tf71
taos
singair1710cb
Dell-Samsung-tobann-4481